Tuesday, December 11, 2007

มะม่วง



มะม่วง
ประเทศไทยปลูกมะม่วงมานาน และมีพันธุ์ปลูกมากกว่า 100 พันธุ์ มะม่วงสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศ ของประเทศไทยได้ดี ปลูกได้เกือบทั้งประเทศ จึงเป็นไม้ผลที่มีผู้นิยมปลูกและรับประทานมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่การเลือกพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม ต้องคำนึงถึง
สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
ควรเป็นพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 10-300 เมตร
ปลูกได้ทั้งพื้นที่ดอนและที่ลุ่ม น้ำไม่ท่วมขัง
พื้นที่มีความลาดเอียงไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
มีการคมนาคมและการขนส่งสะดวก
ลักษณะดิน
ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินร่วมปนทราย มีการระบายน้ำได้ดี
มีความเป็นกรดปานกลางถึงด่างเล็กน้อยประมาณ 5.5-7.5 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมะม่วงมีควาสามารถ

ในการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตได้ดีในสภาพความเป็นกรด - ด่าง ของดินที่ค่อนข้างจะกว้าง
สภาพภูมิอากาศ
อุณหภูมิที่เหมาะสมเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 20-34 องศาเซลเซียส
ต้องการช่วงแล้งก่อนการออกดอกประมาณ 2 เดือน และอุณหภูมิต่ำประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันประมาณ 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับพันธุ์
มะม่วงบางพันธุ์ ไม่ต้องการอุณหภูมิต่ำเพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก เช่นพันธุ์ที่มีนิสัยการออกดอกทะวาย
ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 700-1500 มิลลิเมตรต่อปี และการตกของฝนกระจายตัว สม่ำเสมอในฤดูฝน
แหล่งน้ำ ควรมีแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่มีสารที่เป็นพิษปนเปื้อน น้ำมีความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมประมาณ 6.0-7.5 ต้องมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในระยะพัฒนาผล

พันธุ์
มีหลักที่ใช้ในการพิจารณา คือ เป็นพันธุ์ที่ตลาดมีความต้องการและสามารถปลูกแล้วเจริญเติบโตดีให้ผลผลิตสูง และคุณภาพได้มาตรฐานตรงตามพันธุ์ เนื่องจากมะม่วงบางสายพันธุ์ต้องการปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต ที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิต เช่น ทางด้านรสชาติ ความกรอบ ความแน่นเนื้อ และความหวาน เป็นต้น พันธุ์มะม่วงที่แนะนำให้ปลูก ได้แก่
มะม่วงแก้วศรีสะเกษ 007
ต้นแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ต่ำ และแห้งแล้ง ผลผลิตเฉลี่ย 300 ผล/ต้น/ปี น้ำหนักผลเฉลี่ย 252 กรัม เนื้อผลละเอียด เปอร์เซ็นต์เนื้อ 81% ความแน่นเนื้อ 2.67 กก./ซม.2 คุณภาพในการแปรรูปดี เหมาะสำหรับดองเค็ม แช่อิ่ม และปรุงรสบรรจุกระป๋อง
มะม่วงมรกต
เป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างแม่พันธุ์แก้วเขียว และพ่อพันธุ์สามปี มีลักษณะเด่นที่เนื้อแข็ง กลิ่นหอม เปลือกหนา รสชาติอร่อย เปอร์เซ็นต์เนื้อ(59%)และน้ำตาลค่อนข้างสูง เนื้อมากเมล็ดบาง ผลขนาด 4-5 ผลต่อกิโลกรัม
พันธุ์ตลับนาค หรือสายต้น ศก. 002
ลำต้นแข็งแรง ทรงต้นแผ่กว้าง (เตี้ย) ผลกลมขนาดใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ย 395.40 กรัม ให้ผลผลิตสูง ผลผลิตเฉลี่ย 841.5 ผล/ต้น/ปี ออกดอกและติดผลง่าย ติดผลทุกปี ผิวผลสวย เนื้อละเอียด ทนทานต่อ โรค และแมลง
พันธุ์โชคอนันต์
ต้นแม่เป็นมะม่วงที่ปลูกจากเมล็ดที่สุสานจีน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ผลมีลักษณะเนื้อแน่นแข็ง เปลือก หนาเหนียว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองอมส้มรสชาติหวานหอม เป็นพันธุ์ทวาย การออกดอกและติดผลง่าย สามารถบังคับดอกได้ง่ายไม่กลัวฝน
พันธุ์สามปี
เป็นมะม่วงที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อมีสีส้มค่อนข้างละเอียด เส้นใยเล็กน้อย ให้ผลผลิตค่อนข้างสูงแต่ผลขนาดค่อนข้างเล็ก เปอร์เซ็นต์เนื้อ เท่ากับ 58.5% ความหวานเฉลี่ย 21.3 องศาบริกซ์ การเจริญ เติบโตดีมาก ทนทานต่อโรค และแมลงได้ดี

วิธีการปลูก
การเลือกต้นพันธุ์มะม่วง
เป็นพันธุ์ที่คัดเลือกจากสวนหรือแหล่งพันธุ์ที่เชื่อถือได้
ต้นพันธุ์ได้จากการขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ เช่น การทาบกิ่ง การเปลี่ยนยอด เป็นต้น
ต้นมีความสูงมากกว่า 60 เซนติเมตร มีระบบรากแข็งแรงไม่ขดหรืองอ
ระยะปลูก
ระยะปลูกทั่วไปคือ ระยะระห่างแถว 6-8 เมตร ระหว่างต้น 6-8 เมตร
ระบบการปลูกชิด เช่น ปลูกระยะ 4x4 เมตร ได้จำนวนต้นและผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่มาก ขณะที่การลงทุนเพิ่มมากขึ้น
มีการควบคุมทรงพุ่มและการจัดการมากยิ่งขึ้นกว่าระยะปลูกปกติ


ขั้นตอนการปลูก
ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร กรณีพื้นที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้วัสดุปรับปรุงดินเพิ่มมากขึ้น
วัสดุปรับปรุงดินที่ใช้กับหลุมขนาดปกติ ประกอบด้วยหินฟอสเฟต 0.5 กิโลกรัม ปุ๋ยอินทรีย์ 5-10 กิโลกรัม ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 200-300 กรัม คลุกเคล้ากับดิน นำมะม่วงออกจากถุงแล้วปลูกมะม่วงลงกลางหลุม ปักหลักยึดต้นกันการโยกคลอน แล้วใช้มีดกรีดเอาพลาสติกบริเวณรอยต่อระหว่างยอดพันธุ์กับต้นตอออก
ในแหล่งปลูกที่มีลมแรงควรปลูกไม้บังลมเป็นแถวหรือเป็นแนวขวางทิศทางลมล่วงหน้าหรือปลูกพร้อม ๆ กับการปลูกมะม่วง เช่น สะเดา หรือไผ่ เป็นต้น
ฤดูปลูก
ต้นฤดูฝนเหมาะสมที่สุด มะม่วงที่ปลูกจะมีการเจริญเติบโต และตั้งตัวได้ก่อนถึงฤดูแล้ง แต่ถ้าหากมีระบบการ ให้น้ำก็สามารถปลูกมะม่วงได้ทุกฤดูกาล

การดูแลรักษา
การเตรียมความพร้อมต้นมะม่วง
มะม่วงเริ่มปลูกถึงก่อนให้ผลผลิต
กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ยและให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดปี
ตัดแต่งกิ่ง และจัดโครงสร้างต้น ให้เหมาะสมกับระยะปลูก
ป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้มะม่วงมีกิ่งแข็งแรงมีใบสมบูรณ์มะม่วงระยะเจริญทางกิ่งใบ
หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยทางดินทันที พร้อมกับการให้น้ำ อย่างเพียงพอ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต และสร้างความสมบูรณ์ของต้น
มะม่วงแตกใบใหม่อย่างน้อย 2 รุ่นในรอบปี ดูแลรักษาให้ต้นและใบมะม่วงสมบูรณ์เต็มที่
การเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างตาดอก
ปลายฤดูฝนได้ต้นมะม่วงที่แข็งแรงสมบูรณ์ ควบคุมให้ต้นพักตัวและสะสมอาหารมะม่วงจะสร้างตาดอก ในระยะนี้ โดยงดการให้น้ำก่อนฤดูออกดอกอย่างน้อย 2 เดือน และไถพรวนรอบนอกทรงพุ่ม เป็นการตัดรากมะม่วงบางส่วนและกำจัดวัชพืชพร้อมกัน ในกรณีที่มีฝนหลงฤดูตกลงมา ควรพ่นปุ๋ยทางใบ เช่น สูตร 2-52-34 อัตรา 100-150 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อช่วยให้มะม่วงไม่แตกใบอ่อนและ ยังคงมีการสะสมอาหารต่อไป
การเพิ่มปริมาณและปรับปรุงคุณภาพผลผลิต
พัฒนาการของตาดอก
มะม่วงจะพักตัวระยะหนึ่งแล้วจะเริ่มแทงช่อดอก ในระยะนี้ควรเริ่มให้น้ำปริมาณน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของช่อดอก ทำการป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำ
การเพิ่มการติดผล
หลังจากมะม่วงเริ่มติดผลแล้วควรเพิ่มปริมาณการให้น้ำขึ้น โดยในระยะ 7-10 วัน หลังการติดผล เพิ่มปริมาณการให้น้ำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับที่มะม่วงต้องการอย่างเต็มที่
การส่งเสริมการพัฒนาของผล
โดยการให้น้ำไปตลอด และหยุดการให้น้ำก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 10-15 วัน
ใส่ปุ๋ย ตามพัฒนาการของผล
การป้องกันผลผลิตเสียหาย
การห่อผล ห่อเมื่อผลอายุ 45-60 วัน จะทำให้มะม่วงมีคุณภาพดี เช่น ผิวผลสวย ลดการร่วงของผล ลดหรือป้องกันการเข้าทำลายของโรคและแมลงบางชนิด เป็นต้น

การให้ปุ๋ย
กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่มก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง
มะม่วงอายุ 1-2 ปี ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้งเท่ากันในช่วงต้นและปลายฤดูฝน ใส่รอบโคนต้นแล้วพรวนดินกลบ
มะม่วงที่ให้ผลผลิตแล้วหรือต้นอายุ 3 ปีขึ้นไป มีการใส่ปุ๋ยเป็นระยะตามพัฒนาการหรือความต้องการดังนี้
ระยะบำรุงต้น หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและตัดแต่งกิ่งแล้วใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 20-10-10 หรือ 30-10-10 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง ร่วมไปกับปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง โดยใส่รอบทรงพุ่มแล้วพรวนดินกลบ ใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อมะม่วงเริ่มแตกใบชุดที่ 2 โดยใช้สูตรปุ๋ย และอัตราเดิม
ระยะเร่งสร้างตาดอก ก่อนมะม่วงออกดอก 2-3 เดือน ใส่ปุ๋ย 12-24-12 หรือ 8-24-24 อัตรา 1-2 กิโล กรัมต่อต้น สำหรับต้นอายุ 2-4 ปี อัตรา 2-4 กิโลกรัมต่อต้น สำหรับต้นอายุ 5-7 ปี และ 4-6 กิโลกรัม ต่อต้น เมื่อต้นอายุ 8 ปีขึ้นไป
ระยะบำรุงผล หลังดอกบาน 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อต้น
ระยะปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 1 เดือน ใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น และอาจพ่นปุ๋ยทางใบร่วมในระยะนี้ด้วย
หมายเหตุ : อัตราการใส่ปุ๋ย ควรปรับใช้ตามขนาดต้น อายุพืช และความอุดมสมบูรณ์ของดิน ใช้ตามค่าการ วิเคราะห์ดินและพืช

การให้น้ำ

วิธีการให้น้ำ
ระบบให้น้ำแบบหัวเหวี่ยงเล็ก การปฏิบัติงานทำได้สะดวก ประหยัดแรงงานและพืชได้น้ำสม่ำเสมอ
การให้น้ำแบบสายยางรดหรือแบบปล่อยตามร่องขนาดเล็ก มีต้นทุนต่ำกว่าระบบแรก แต่ควบคุม ปริมาณน้ำที่ให้พืชได้ยาก ไม่สม่ำเสมอ ใช้น้ำ แรงงาน และเวลามากกว่าระบบหัวเหวี่ยงเล็ก
ปริมาณน้ำ
มะม่วงระยะบำรุงต้น มีความต้องการน้ำประมาณ 0.5 เท่าของอัตราการระเหยน้ำ กล่าวคือ ถ้าสภาพ อากาศมีอัตราการระเหยน้ำ 5 มิลลิเมตรต่อวัน (การระเหย 1 มิลลิเมตรเทียบเท่ากับน้ำ 1 ลิตรต่อ ตารางเมตร) ต้นมะม่วงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 3 เมตร จะต้องให้น้ำประมาณ 22.5 ลิตรต่อต้น ต่อวัน (ครั้ง)
มะม่วงหลังการติดผล ถือเป็นระยะวิกฤตที่มะม่วงต้องการใช้น้ำมากที่สุด ประมาณ 0.7-0.8 เท่าของ อัตราการระเหยน้ำ กล่าวคือ ถ้าสภาพอากาศมีอัตราการระเหยน้ำ 5 มิลลิเมตรต่อวัน ต้นมะม่วงที่มี เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 5 เมตร จะต้องให้น้ำประมาณ 87.5-100 ลิตรต่อต้นต่อวัน (ครั้ง)
ความถี่ของการให้น้ำ
ขึ้นกับเนื้อดินและสภาพอากาศ ดินที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายให้น้ำ 2-3 วันต่อครั้ง เนื้อดินเป็นดิน เหนียวให้น้ำ 4-5 วันต่อครั้ง อย่างไรก็ตามอาจใช้วิธีสังเกตจากความชื้นดิน และสภาพของใบมะม่วง ประกอบการวางแผนให้น้ำก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น จากตัวอย่างที่ยกมาจากข้างบน ปริมาณการให้น้ำมะม่วง ระยะบำรุงต้นพืชต้องการน้ำ 22.5 ลิตรต่อต้นต่อวัน ถ้าต้องการให้น้ำ 4 วันต่อครั้งดังนั้นต้องให้น้ำ เท่ากับ 90 ลิตรต่อครั้ง
การงดให้น้ำ
ในช่วงก่อนมะม่วงออกดอก จะต้องงดให้น้ำจนกว่ามะม่วงเริ่มแทงช่อดอกแล้วจึงจะเริ่มให้น้ำอีก

การตัดแต่งกิ่ง
การจัดทรงหรือสร้างทรงพุ่มมะม่วง
เลือกลำต้นหลัก 1 ลำต้น ความสูง 75-100 เซนติเมตร
ทำลายตายอด ทำให้ตาข้างผลิเกิดเป็นกิ่งแขนง คัดเลือกกิ่งไว้ในทิศทางที่ต้องการ 3-5 กิ่ง และเลือกกิ่งไว้ ไปอีก 2-3 ครั้ง ตามขนาดทรงพุ่มที่ต้องการ
ขนาดพุ่มต้นควรคำนึงถึงความสะดวกในการทำงานรวมถึงความปลอดภัยและเหมาะสมกับเครื่องมือที่มีอยู่
วิธีการตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งแบบบางเบา
เป็นการบังคับ และเลือกกิ่งให้เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ต้องการ
ตัดแต่งกิ่งที่ไม่ต้องการออก เช่น กิ่งที่โรคและแมลงทำลาย กิ่งกระโดง กิ่งไขว้ กิ่งไม่สมบูรณ์ กิ่งที่ผลิบริเวณ ปลายกิ่งที่แน่นมากเกินไปออก
การตัดแต่งแบบปานกลาง
เมื่อพุ่มต้นใกล้จะชนกัน ตัดกิ่งรอบนอกทรงพุ่มทั้งหมดจากปลายยอดลึกเข้าหาศูนย์กลางต้นยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร
มะม่วงจะผลิตา แตกกิ่ง - ใบใหม่มาทดแทน
คัดเลือกกิ่งและตัดแต่งกิ่งอย่างบางเบา หลังการตัดแต่งแบบปานกลางอีก 1-2 ครั้ง
การตัดแต่งกิ่งแบบหนัก
เมื่อต้นอายุมาก ต้นถูกโรคและแมลงทำลาย หรือต้นทรุดโทรม
สร้างโครงสร้างต้นมะม่วงใหม่ โดยตัดแต่งกิ่งเปิดกลางทรงพุ่มให้มีความสูง 1.5-3.0 เมตร ปริมาตรทรงพุ่ม ตัดออกไปประมาณครึ่งหนึ่ง
กิ่งที่ถูกตัดเป็นแผลขนาดใหญ่ควรทาแผลด้วยยาป้องกันกำจัดเชื้อรา หรือสีน้ำมันจากนั้นกิ่งจะผลิตาให้กิ่ง แขนงใหม่ ทำการคัดเลือกและตัดแต่งกิ่งอย่างบางเบา 1-2 ครั้ง
เมื่อกิ่งแขนงใหม่บริเวณกลางทรงพุ่ม มีโครงสร้างเจริญเติบโตแข็งแรงมาทดแทนกิ่งเดิม และคาดการณ์ จะสามารถให้ผลผลิตในปีต่อไปได้ ให้ตัดแต่งกิ่งโครงสร้างเก่าที่อยู่รอบนอกของ โครงสร้างใหม่ออก มีความยาวใกล้เคียงกับการตัดแต่งกิ่งเปิดกลางทรงพุ่ม คัดเลือกกิ่งและตัดแต่งกิ่งแบบบางเบา 1-2 ครั้ง
ผลผลิตจะลดลงบ้างประมาณ 20-40 เปอร์เซ็นต์ สามารถให้ผลผลิตได้เต็มที่ในปีที่ 3 หลังจากเริ่มตัดแต่ง กิ่งอย่างหนัก
หมายเหตุ : หลังจากตัดแต่งกิ่งทุกครั้งควรบำรุงต้นมะม่วงทันที ด้วยการใส่ปุ๋ยและให้น้ำ เพื่อเร่งการผลิตาสร้างกิ่ง และใบใหม่ที่สมบูรณ์มาทดแทนได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันกำจัดศัตรูพืชทุกครั้งที่มีกิ่ง - ใบอ่อน ผลิมาใหม่